วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โฆษณาไทย


             

                โฆษณาน้ำหวานตราสิงห์  ของบุญรอดบริวเวอรี่  แลเห็นพระเจดีย์กลางน้ำ  จ.สมุทรปราการ  ลายเซ็นใต้เก้าอี้ซ้ายอาจเป็นชื่อ  จุมพล  ส่วนคำว่าบุญครองคือชื่อโรงพิมพ์ที่รับงานโฆษณา  ภาพจากปกหลังในของนิตยสารท่องเที่ยวสัปดาห์เสาร์  17  ส.ค.  2483  ห้องสมุดเอนก  นาวิกมูล



   ยาแก้สิวของห้างขายยาบางกอก  ตราช้าง  ยังอ่านชื่อผู้วาดไม่ได้ ภาพจากหนังสือสมุดภาพนางงาม  2484



                            
                                  โฆษณานาฬิกาอิเล็คชั่น  วาดโดย  จ.ศิลป


          
             กาแฟโมคาฟิโน  จากสวิตเซอร์แลนด์  เขียนโดย Chubby (ใต้กระป๋องซ้าย)  ภาพจากสตรีสาร  ต้นมิถุนายน  พ.ศ.2506    หน้า 114  ห้องสมุดเอนก  นาวิกมูล



           
               โฆษณาโฮเต็ลหัวหิน  ของกรมรถไฟหลวง  ภาพจากหนังสือสมองโอฐสภากาชาดสยาม  ฉบับมกราคม    พ.ศ.2473  ห้องสมุดเอนก  นาวิกมูล



            
              ปกหนังสือ  วิทยุสาร  เล่ม คอนที่ สิงหาคม  พ.ศ.2482  พิมพ์สอดสีแดง  เขียว  น้ำเงิน  เป็นของสำนักงานโฆษณาการ  เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา  ภายหลังกลายเป็นกรมประชาสัมพันธ์  ห้องสมุดเอนก  นาวิกมูล



 
            
           กล่องผงซักฟอกโอโม  (ของค่ายลีเวอร์บราเธอร์)  รุ่น  1954  หรือ  พ.ศ.2497 ภาพจากหนังสือ  Packaging  Source  Book  โดย  Robert  Opie  หน้า 145


         
              โฆษณาครีมแต่งผมครีโอ  ภาพจากหนังสือพิมพ์บางกอกการเมือง ฉบับวันพุธที่  22  สิงหาคม  พ.ศ.2479   คุณนิรัติ  หมานหมัด  เอื้อเฟื้อให้ เอนก  นาวิกมูล  ยืมถ่ายเอกสารเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่




           
                แป้งโอวันติน  ยุค  2471  หรือเมื่อ  70  กว่าปีมาแล้ว   ตรงกับสมัย  ร.สมัยผู้หญิงที่ทันสมัยมักสวมเสื้อแขนกุดอย่างนี้  มุมขวาล่างมีคำว่า  “จันทนบุบผา”  มาจากนามสกุลของนักวาดคือ  เก็บจันทนบุบผา  ภาพจากหนังสือเสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์  ตุลาคม  พ.ศ.  2471



            
              โฆษณาห้างเพาล์ปิกเคนปัก  เชิงสะพานมอญ  รับสั่งและติดตั้งเครื่องยนต์  เครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ ภาพจากหนังสือ “ที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์  สวนลุมพินี  พ.ศ. 2468  ห้องสมุดเอนก  นาวิกมูล





*ขอบคุณ    หนังสือ เอนก  นาวิกมูล.  (2551).  โฆษณาไทย  เล่ม 1.  กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สายธาร.


ก้าวหน้าบริการ สวนนัน



สวนสุนันทาปรับปรุงศูนย์วิทยบริการ  พัฒนาทรัพยากรโดยรอบ  เพื่อนำไปสู่เทคโนโลยีทันสมัย  หวังดึงดูดนักศึกษาให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้
            มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาได้ทำการ พัฒนาศูนย์วิทยบริการ  ซึ่งเดิมเป็นห้องสมุดโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย  ได้เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่  17  พฤษภาคม  2480  และได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจน  พ.ศ.2549  มหาวิทยาลัยได้ทำการรื้อถอนเพื่อสร้างอาคารใหม่ศูนย์วิทยบริการ  ปัจจุบันอาคารใหม่ได้สร้างแล้วเสร็จ  มีชื่ออาคารว่า  “อาคารศูนย์วิทยบริการและสำนักงานอธิการบดี”  โดยมีเป้าหมายดังนี้  พัฒนาโครงสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาภารกิจของมหาวิทยาลัย  พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพในการค้นคว้าวิจัย และการเรียนการสอน  พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารมหาวิทยาลัย  พัฒนาบุคลากรให้มีจิตสำนึกและทักษะทางเทคโนโลยีสารสนเทศ  บริการวิชาการด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
 ภายในศูนย์วิทยบริการนี้ได้มีบริการต่าง ๆ มากมาย  อาทิ  บริการอินเตอร์เน็ต  บริการโสตทัศนวัตถุ  บริการยืม-คืนหนังสือ  ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นแหล่งรวมที่จะหาประสบการณ์และเป็นแนวทางใน การพัฒนาความรู้ชั้นเยี่ยมที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดไว้ให้นักศึกษาและบุคลากร  ดังปรัชญา  สารสนเทศทันสมัย เทคโนโลยีก้าวไกล สู่สังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนภูมิปัญญา 
บรรยากาศภายนอกบริเวณหน้าอาคารยังได้มีการจัดสวนหย่อมเล็ก ๆ ไว้เป็นทางเลือกให้นักศึกษาได้นั่งพักผ่อนยามว่างอีกด้วย  ในอนาคตเชื่อได้ว่าศูนย์วิทยบริการจะมีการพัฒนาต่อไปตามยุคตามสมัยดังตอนนี้ที่เป็นอยู่           

AD Show Off 3 ฝ่าวิกฤติพิชิตทางตัน

มีงานดี ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กัน
 
เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันสินค้าและบริการทุกประเภทมีการแข่งขันทางการตลาดสูงขึ้นทำให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการหลายอย่างๆ ต้องพยายามสร้างภาพลักษณ์เพื่อเป็นการ เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้า โดยใช้การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆเป็นตัวดึงดูดผู้บริโภคให้เกิดความอยากได้อยากมีในสินค้าหรือบริการเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า “การสื่อสารทางการตลาด” หรือ Marketing Communication  นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเมื่อเข้ารับการบริการ ของสายการบินไทย จึงได้ความรู้สึกว่าถ้าเลือกบินกับ การบินไทย เราจะได้รับ บริการแบบ Smooth as silk และ ถ้านึกถึงน้ำอัดลม ทำไมบางคนคิดถึง Coke และทำไมบางคนคิดถึง Pepsi รวมถึงทำไมโทรศัพท์มือถือ iPhone สามารถสร้างปรากฏการณ์ AppleFever ไปทั่วโลกได้ นอกจากนี้แล้วการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องมีข้อมูลที่สอดคล้องกันในทุกช่องทางของสื่อที่นำเสนอข้อมูลออกไปที่เราเรียกว่าIntegrated Marketing Communication (IMC) หรือการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุม  ซึ่งเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการจัดการสัมมนาในครั้งนี้ เนื่องจากสาขาวิชาการโฆษณา  คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นหลักสูตรใหม่จากการโฆษณา เพียงอย่างเดียวมาเป็น การโฆษณาและสื่อสารการตลาด ในปีการศึกษา 2554  ซึ่งเป็นความต้องการที่จะตอกย้ำให้นักศึกษาสาขาการโฆษณา ได้รับรู้ถึงในอนาคตนั้นโฆษณาอาจมาถึงทางตัน จึงต้องอาศัยการบูรณาการจากการสสื่อสารการตลาดเข้ามาช่วยและทำให้นักศึกษาผู้เข้าร่วมงาน สามารถตอบคำถามที่มีในใจได้ว่า เราคือใคร? เราเรียนรู้อะไร? เพื่อทำอะไร ? โดยในการโครงการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการทางวิชาการ  เรื่อง  AD Show Off 3 ฝ่าวิกฤติพิชิตทางตันในครั้งนี้จะเป็นการเรียนรู้หลักการ และ ประสบการณ์จากวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญ เพื่อร่วมกันหาทางออก พิชิตทางตันของโฆษณาสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
            และในปัจจุบันการโฆษณาผ่านสื่อ Social Media กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงและในปี พ.ศ.2555 นี้ และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโลกใน ยุคของสื่อดิจิตอล จากผลสำรวจของบริษัทแมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) แผนกคอนซูเมอร์ อินไซต์ เผยผลสำรวจล่าสุด ชี้แนวโน้มนวัตกรรมสร้างสรรค์จะเป็นตัวแปรสำคัญในโลกการสื่อสารแห่งอนาคตในยุคที่ผู้บริโภคพร้อมจะก้าวไปกับการใช้สื่อแบบผสมผสานร่วมไปกับ “10 เทรนด์นวัตกรรมการสื่อสารก้าวล้ำพลิกโฉมโลกโฆษณาในปี 2555”  เพื่อการเป็นการหาทางออกและมองหาช่องทางใหม่ๆในการเป็นนักโฆษณาที่มีประสิทธิภาพได้

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการจัดงานสัมมนาขึ้นในหัวข้อ โครงการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการทางวิชาการ
เรื่อง  AD Show Off 3 ฝ่าวิกฤติพิชิตทางตัน




กำหนดการ 
โครงการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการทางวิชาการ 
เรื่อง  AD Show Off 3
 ฝ่าวิกฤติพิชิตทางตัน 
วัน
อังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 8.00-17.00 น.
ณ หอประชุมช่อแก้ว อาคาร 31
ชั้น5 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

8.00-9.30 น.                 ลงทะเบียน

9.30-10.00 น.
               พิธีเปิด
                                     - กล่าวเปิดงานโดย ดร.สมเดช  รุ่งศรีสวัสดิ์  คณบดีคณวิทยากาจัดการ
                                     - กล่าวรายงานโดย นายโกมล  สุขกมล  ประธานโครงการฯ

10.00-11.30 น. 
            ชม VTR โครงการฯ
                                     -  รับฟังการบรรยายในหัวข้อ‘IMCพลิกวิกฤตโฆษณา’  โดย ผศ.เสริมยศ ธรรมรักษ์

11.30-12.00น.
              - ถาม ตอบ ปัญหากับวิทยากร
 - ถ่ายรูปร่วมกับวิทยากร  

12.00-13.00น.              - พักกลางวัน

13.00-14.00น.
              - รับฟังการบรรยายในหัวข้อ โฆษณาฝ่าทางตัน
                                    โดย คุณตรง ตันติเวชกุล

14.00-14.30น.
              - ถาม - ตอบ ปัญหากับวิทยากร
                                    - ถ่ายรูปร่วมกับวิทยากร

14.30-15.30น.
              - รับฟังการบรรยายในหัวข้อ ‘12แรงบันดาลใจในโลกสื่อสารการตลาดปี 2012’
                                    โดย คุณวฤตดา วรอาคม

15.30-16.00น.
              - ถาม - ตอบ ปัญหากับวิทยากร
                                    - ถ่ายรูปร่วมกับวิทยากร
 
16.00-17.00
น.              - อาจารย์ธนิต  พฤกธรา ท่านอาจารย์ที่ปรึกษากล่าวขอบคุณวิทยากรพร้อมมอบของ 
  ที่ระลึกและถ่ายรูปร่วมกับวิทยากร
  การตอบคำถามแจกของรางวัล                                          
       
       สรุปกิจกรรม และ พิธีปิดงาน


            เพื่อน ๆ คนไหนที่มีเวลาว่างก็ขอเชิญชวนแวะมาที่งานสัมมนา AD Show Off 3  ฝ่าวิกฤติพิชิตทางตัน ตั้งแต่เวลา 8.00 ถึง 17.00 น.  ณ หอประชุมช่อแก้ว อาคาร 31 ชั้น 5 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กันนะค่ะ

ความสวยงาม "วัดพระธาตุผาแก้ว"



             ก่อนอื่นเรามารู้จักกับประวัติความเป้นมาของวัดแห่งนี้ก่อนเลยดีกว่า 

            วัดพระธาตุผาแก้ว เดิมชื่อพุทธธรรมสถานพระธาตุผาซ่อนแก้ว เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามรอบด้านมองเห็นผาซ่อนแก้วและทิว เขาสลับซับซ้อน มีศาลาปฎิบัติธรรมประดิษฐานพระพุทธรูปหยกงดงามภายในตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะ สวยงามแปลกตา ตั้งอยู่ ณ บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างในราวปลายปี 2547 โดย คุณภาวิณี และ คุณอุไร โชติกูล ได้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเริ่มแรกจำนวน 25 ไร่ เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ปัจจุบันมีผู้ร่วมถวายปัจจัยซื้อที่ดินเพิ่มรวมทั้งสิ้นมีที่ดินรวม 91 ไร่
            สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตามๆ กันว่า "ผาซ่อนแก้ว" และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า "พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว" เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป


            วัดแห่งนี้ ถูกโอบล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าอันเขียวขจี ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี ถึงแม้จะมีแสงแดดที่สาดลงมาในช่วงกลางวันก็ตามบรรยากาศโดยรอบของวัดพระธาตุผาแก้วนี้ มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม โดดเด่น และมีความเงียบสงบ ซึ่งเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมกรรมฐานและนั่งวิปัสสนาเป็นอย่างมาก และนอกจากนี้จะเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมอีก ด้วยวัดพระธาตุผาแก้ว มีองค์เจดีย์ขนาดใหญ่ ที่สูงเด่นเป็นสง่า เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีการออกแบบตกแต่งด้วยการเอาใจใส่ในรายละเอียดทุกขั้นทุกตอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์เจดีย์ ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกลีบของดอกบัวที่ซ้อนกันไปมาถึง 7 ชั้น และมีสีสันที่สวยสดงดงาม ด้วยการนำเอาทั้งแก้ว แหวน เงินทอง มุก ลูกปัด ถ้วยชามเบญจรงค์ กระเบื้องหลากสี และสิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับจนกลายเป็นงานปะติมากรรมอันยิ่งใหญ่ ให้เราสัมผัสได้ถึงความสวยงามของลวดลายที่แฝงไปด้วยคติธรรมคำสอนของพระพุทธ ศาสนาเมื่อเดินขึ้นไปด้านบนขององค์เจดีย์ แล้วมองไปโดยรอบให้สุดลูกหูลูกตา คุณจะได้พบว่า ความสดชื่นแบบธรรมชาติเป็นอย่างไร ในมุม 360 องศา ด้านหน้าเป็นวิวของหมู่บ้านทางแดง ด้านหลังจะเป็นวิวหุบเขาใหญ่ของเขตป่าสงวนแห่งชาติ สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการเดินทามาเที่ยว ณ วัดแห่งนี้ คือ ช่วงฤดูฝน เพราะจะมีหมอกปกคลุมมาก ทำให้บรรยากาศรอบข้างสวยงามที่สุด โดยเฉพาะตรงบริเวณภูเขาน้อยใหญ่ เราจะเห็นเป็นลักษณะของน้ำตกสายหมอกไหลลงมาอย่างน่ามหัศจรรย์หากเพื่อนๆ ชาวเที่ยวเมืองไทยคนใด กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้อยู่ละก็ ลองไปกันดูสักครั้งแล้วจะติดใจ แต่ถึงอย่างไร สถานที่แห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซะทีเดียว แต่เป็นวัดวาอาราม และศูนย์รวมจิตใจในการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปนั้น จะต้องให้เกียรติและเคารพต่อสถานที่ ด้วยการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม อยู่ในอาการสำรวม ไม่ส่งเสียงดัง และควรแต่งกายอย่างสุภาพ 




                                 การเดินทางไปวัดพระธาตุผาแก้ว


         
รถยนต์ส่วนตัว
            จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ื่อผ่านตัวเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยว ซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลกขับต่อไปยังทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลัก กิโลเมตรที่ 103  มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทาง ซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้

รถประจำทาง

            ท่านสามารถเดินทางมาลงได้ 2 สถานี คือ สถานีหล่มสักแล้วเรียกรถต่อไปยังพิษณุโลก ลงหน้าตลาดห้วยไผ่ ปาก ทางเข้าหมู่บ้านทางแดง เดินเข้ามาประมาณ 10 นาทีจะเห็นสะพานทางเข้าวัดด้านขวามือ หรือสถานีที่ตัว เมือง เพชรบูรณ์ ในระหว่างวัน จะมีรถโดยสารบริการต่อเข้าไปยังตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ ให้ลงรถที่หน้า อบต. แคมป์สน หรือหน้าตลาดห้วยไผ หากท่านต้องการข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม สามารถติดต่อขอข้อมูล การเดินทางโดยรถยนต์โดยสาร ที่ 2 บริษัท คือ
            1.    บริษัท เพชรทัวร์ จำกัด  
             - สถานีเพชรบูรณ์ 0-5672-2818
             - สถานีกรุงเทพฯ  0-2936-3230
            2.    บริษัท ถิ่นสยามทัวร์ จำกัด
             - สถานีเพชรบูรณ์   0-5672-1913
             - สถานีหล่มสัก     0-5670-1613
             - สถานนีกรุงเทพฯ 0-2936-0500 



*ขอบคุณข้อมูลจาก http://touronthai.com/gallery/placeview.php?place_id=10000029
และรูปภาพจาก http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10002633/E10002633.html

เหตุเกิดที่สวนนัน





น้ำพริกลงเรือ อาหารที่ไม่ว่าใครก็เคยได้ยินชื่อกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบถึงประวัติ และที่มาของชื่อน้ำพริกลงเรือ ที่มีรสชาติแสนอร่อยชนิดนี้ ว่าที่แท้จริงแล้วถือกำเนิดที่วังสวนสุนันทา
โดยเหตุนั้นเกิดจาก เดิม ณ วังสวนสุนันทายังคงเป็นสถานที่อันร่มรื่น อุดมสมบูรณ์ไปด้วยร่มไม้อันเขียวขจี มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่าน ในช่วงเวลาพลบค่ำวันหนึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดล กรมอู่ทอง พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระวิมาดาเธอ (สมเด็จอาหญิงน้อย) รู้สึกอยากจะเสวยอาหารในเรือ จึงรับสั่งให้คุณจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นห้องเครื่องประจำพระองค์ ว่า สดับ ไปดูซิว่าในครัวมีอะไรบ้างในเวลานั้นยังไม่ถึงเวลาเสวย คุณจอมสดับจึงเดินเข้าไปในห้องเครื่อง พบว่ามีเพียง ปลาดุกทอดฟู และน้ำพริกตำไว้เท่านั้น จึงหยิบน้ำพริกกับปลามาผัดรวมกัน เติมหมูหวานใส่ลงไปเล็กน้อยแล้วตามด้วยไข่เค็มทิ้งไข่ขาวแล้วเอาเฉพาะไข่แดงดิบวางเรียงรายลงไป พร้อมทั้งจัดเครื่องเคียงไม่ว่าจะเป็นผักต้ม หรือ ผักสด และจัดถวายเป็นอาหารมื้อเย็นบนเรือ ซึ่งทั้ง ๒ พระองค์ทรงโปรดน้ำพริกถ้วยนี้เป็นอย่างมาก และนี่จึงเป็นที่มาของ น้ำพริกลงเรือ จนถึงทุกวันนี้
และแล้วก็มาถึงกรรมวิธีในการทำน้ำพริกลงเรือ สูตรต้นตำรับฉบับชาววังกัน พวกดินทางไปยังบ้านของ คุณยายนิจ ซึ่งจะเป็นผู้ที่ให้ความรู้และสอนเราทำน้ำพริกลงเรือ คุณยายนิจ กล่าวถึงวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ประกอบไปด้วย กะปิ พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู กระเทียม น้ำปลา น้ำตาล มะนาว กระเทียมดอง ไข่เค็ม ปลาดุกฟู และหมูหวาน เริ่มแรกในขั้นตอนวิธีการทำ ต้องเริ่มจากการนำพริกชี้ฟ้าโขลกอย่างละเอียด ตามต่อด้วยกระเทียม กะปิ โขลกต่อให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล มะนาว และพริกขี้หนู ปรุงให้มีรสชาติกลมกล่อมครบทั้งสามรส หลังจากชิมรสชาติจนได้รสชาติที่กลมกล่อมครบทั้ง ๓ รสแล้ว จึงใส่หมูหวานลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักขึ้นใส่ถ้วย สุดท้ายโรยด้วยปลาดุกฟูกรอบ ไข่เค็ม(เฉพาะไข่แดง) และกระเทียมดอง ตกแต่งหน้าตาให้สวยงาม เพียงเท่านี้น้ำพริกลงเรือสูตรชาววังก็สำเร็จ พร้อมทานคู่กับเครื่องเคียงไม่ว่าจะเป็นผักสด หรือผักต้มชนิดต่าง ๆ
ซึ่งเคล็ดลับของการทำน้ำพริกลงเรือ นอกจากรสชาติที่กลมกล่อมแล้วการใช้สากไม้ในการโขลกน้ำพริก ยังมีส่วนกับรสชาติ เนื่องจากการใช้สากหินเมื่อโขลกวัตถุดิบต่าง ๆ นั้นจะมีเศษหินจากครกหรือสากที่แตกปนเปื้อนมากับอาหารได้ 



เก็บตก งานเกษตรมหัศจรรย์


หวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้รับความรู้ที่ได้นำมากันในบทความก่อนหน้านี้ ไปงานมาทั้งที งั้นขอเก็บรูปมาฝากกันหน่อยแล้วกันนะ










“ข้าว” ความภูมิใจของคนไทย



ในงานเกษตรมหัศจรรย์ ครั้งที่ 3 ข้าวของแผ่นดิน  ที่จัดขึ้นในวันที่ 22-26 ก.พ. 55 MCC HALL ชั้น 4 เดอะมอลล์ บางแค ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.  เป็นงานที่รวบรวมข้าว 84 สายพันธุ์ อาหารมหัศจรรย์ที่เลี้ยงคนทั้งโลก

            จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านกาลเวลาหลายยุคหลายสมัย ข้าวไทย..ได้รับการคัดสรรและปรับปรุงพันธุ์มาโดยตลอด จนเกิดเป็นข้าวพันธุ์ดีที่มีคุณสมบัติโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์  ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพไปทั่วโลก หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยกับชื่อสายพันธุ์ข้าวไทยที่มีอยู่จำนวนมาก และนี่คือตัวอย่างข้าวไทย 6 สายพันธุ์เด่น อาหารมหัศจรรย์ที่เลี้ยงคนไทยทั้งโลก และเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทย



ปิ่นแก้ว ข้าวชนะที่ 1 ของโลด ปี 2476

            ไทยได้ส่งข้าว “ปิ่นแก้ว” ไปประกวดที่เมืองเรจินา ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม. 2476 ปรากฏว่าได้รางวัลที่ 1 นอกจากนี้ สายพันธุ์อื่น ๆ ยังได้ที่ 2 และ 3 รวมแล้ว 11 รางวัลด้วยกัน จากทั้งหมด 20 รางวัล


หอมนิล ข้าวเป็นยา

            ข้าวหอมนิลเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยมีโปรตีนอยู่ในช่วงประมาณ 10-12.5% มีแคลเซียม 4.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ปริมาณธาตุเหล็กแปรปรวนอยู่ระหว่าง 2.25-3.25 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และธาตุสังกะสีประมาณ 2.9 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ในส่วนของรำและจมูกข้าว มีวิตามินอี วิตามินบี และกรดไขมันไม่อิ่มตัว จากข้อมูลทางโภชนาการ ข้าวเจ้าหอมนิลเป็นข้าวที่มีศักยภาพในการนำมาแปรรูปทางอุตสาหกรรมอาหารสูง เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารจากแป้งข้าวเจ้าหอมนิล รวมทั้งขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ


เศรษฐี

            เป็นข้าวเหนียว อยู่ในกลุ่มข้าวกลาง เหมาะสำหรับพื้นที่ทุ่ง อายุเก็บเกี่ยว 120-125 วัน ลำต้นแข็งแรง ทนทานต่อโรคสูง รสชาติปานกลาง กลิ่นไม่หอม อ่อนนิ่ม นิยมทำข้าวเม่า สาโท ข้าวโป่ง ข้าวต้มมัด ข้าวหลาม ขนมข้าวพอง ข้าวกระยาสารท


หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน

            ข้าวสายพันธุ์นี้เป็นหนึ่งในผลสำเร็จจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง ผลผลิตสูง ให้ทนต่อสภาพน้ำท่วมฉับพลันในทุกระยะการเจริญเติบโต


ล้นยุ้ง

            เป็นชื่อพันธุ์ข้าวนาสวน ประเภทข้าวเจ้า ถือเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของประเทศไทย โดยชื่อของสายพันธุ์ข้าวชนิดนี้ ตั้งให้มีความหมายในทางที่ดี เป็นสิริมงคล บ่งบอกถึงความร่ำรวย หรือการได้ผลผลิตมาก ๆ


ช่อไม้ไผ่

            เป็นชื่อสายพันธุ์ข้าวเหนียวดำ พันธุ์พื้นเมืองของภาคใต้ เป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะวิตามินบี 1 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 และวิตามินอี ลักษณะเด่นคือ เมื่อนำมานึ่งสุก มีลักษณะอ่อนนุ่ม คนในภาคใต้จะนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นอาหารเสริม หรืออาหารว่าง